ความปลอดภัย (ในการทำงาน) ง่ายนิดเดียว (ตอนที่ ๖)
สัปดาห์ที่ผ่านมา
บางท่านอาจทราบข่าวแล้วเกี่ยวกับการประกาศบังคับใช้กฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหารจัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัย
อาชีวอนามัย
และสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับการป้องกันและระงับอัคคีภัย พ.ศ. ๒๕๕๕ ในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่
๙ มกราคม ๒๕๕๖ เพื่อให้มีการป้องกันและระงับอัคคีภัยที่มีมาตรฐาน
ซึ่งเป็นมาตรการสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้ลูกจ้างได้รับความปลอดภัยในการทำงาน
โดยกฎหมายกำหนดให้สถานประกอบกิจการดำเนินการ
เช่น สถานประกอบกิจการที่มีลูกจ้างตั้งแต่สิบคนขึ้นไปให้นายจ้างจัดให้มีแผนป้องกันและระงับอัคคีภัย
อาคารที่มีสถานประกอบกิจการหลายแห่งตั้งอยู่รวมกัน
ให้นายจ้างทุกรายของสถานประกอบกิจการในอาคารนั้นมีหน้าที่ร่วมกันในการจัดให้มีระบบป้องกันและระงับอัคคีภัย
รวมทั้งแผนป้องกันและระงับอัคคีภัยด้วย เป็นต้น (รายละเอียดเพิ่มเติม)
กลับมาเรื่องที่ผมได้กล่าวไว้แล้วในบทความที่ผ่านมาเกี่ยวกับองค์ประกอบที่ควรนำมาพิจารณาในการวางแผนเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดเพลิงไหม้ในสถานประกอบกิจการ
จากคู่มือ Fire Risk
Management ขององค์กรแรงงานระหว่างประเทศ
โดย ๒ องค์ประกอบแรกที่กล่าวไปแล้ว คือ การควบคุมวัสดุหรือสารไวไฟ
และการลดหรือกำจัดต้นเหตุที่เป็นสาเหตุต่อการเกิดเพลิงไหม้ ส่วนองค์ประกอบต่อไปที่จะกล่าวถึง คือ
องค์ประกอบที่ ๓ : การแจ้งเหตุเพลิงไหม้ที่มีประสิทธิภาพ
(Rapid Identification of Presence of the Fire)
การแจ้งเหตุเพลิงไหม้ที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
เป็นปัจจัยสำคัญในการจะที่ควบคุมเหตุการณ์ในช่วงเริ่มต้นไม่ให้ลุกลาม
ซึ่งผู้สามารถควบคุมเหตุการณ์ได้ทันทีอาจเป็นตัวของผู้ปฏิบัติงานเองที่อยู่ในพื้นที่ดังกล่าว
ถ้าได้รับการฝึกอบรมที่เพียงพอ
การจะดำเนินการดังกล่าวได้นั้น
สถานประกอบกิจการสามารถนำเอาเทคโนโลยี เข้ามาช่วย
คือ อุปกรณ์ในการตรวจจับประกายไฟ ความร้อนหรือควัน เชื่อมต่อกับระบบสัญญาณกริ่งและสัญญาณเตือน
เพื่อแจ้งเตือนผู้มีหน้าที่รับผิดชอบ โดยคู่มือ Fire Risk Management มุ่งเน้นไปที่การติดตั้งและการเตรียมอุปกรณ์ดังกล่าวเหมาะสมพื้นที่การปฏิบัติงานและให้พร้อมใช้งานมากกว่าความทันสมัยของอุปกรณ์
กล่าวคือ
-
การพิจารณาติดตั้งอุปกรณ์ดังกล่าวต้องเหมาะสมกับความเสี่ยงในพื้นที่นั้น
-
แผนการตรวจสอบและทดสอบความพร้อมอุปกรณ์
เช่น การตรวจสอบ
แบตเตอรี กระแสไฟฟ้าที่ถูกจ่ายเพื่อเลี้ยงอุปกรณ์ดังกล่าว
ทั้ง ๒ ประเด็นที่กล่าวข้างต้น
เราจะเห็นได้ว่าเป็นหลักการเบื้องต้น แต่ปัญหาสถานประกอบกิจการหลายแห่งไม่ให้ความสำคัญมากนัก
แต่มุ่งเน้นการควบคุมภายหลังจากเกิดเหตุเพลิงไหม้แล้ว
องค์ประกอบที่ ๔ การเตรียมขั้นตอนและวิธีปฏิบัติกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินที่ประสิทธิภาพ
(Effective Emergency Provision and Procedure)
การเตรียมการให้ผู้ปฏิบัติงานในสถานประกอบกิจการให้สามารถอพยพออกจากสถานที่เกิดเหตุได้อย่างทันท่วงที
เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เกิดความสูญเสียน้อยลง เช่น
-
กำหนดให้มีเส้นทางหนีไฟสองด้าน
(เส้นทางหนีไฟทั้งสองต้องอยู่ตรงข้ามกัน)
ของอาคารหรือสถานที่ทำงาน
-
ห้องปิด (เช่น ห้องสำนักงาน)
จะต้องมีทางออกอย่างน้อย ๑ ทาง ที่สามารถ
ออกสู่เส้นทางหนีไฟได้ตลอดเวลา
-
เส้นทางหนีไฟต้องแสดงให้เห็นอย่างชัดเจน
เช่น การทาสีแนวเส้นทางหนีไฟ
ด้วยสีเหลือง และความกว้างของเส้นทางหนีไฟไม่น้อยกว่า
๗๐ เซนติเมตร และปราศสิ่งกีดขวาง
-
เส้นทางหนีไฟต้องแสงสว่างที่เพียงพอโดยการติดตั้งไฟฉุกเฉิน
และเส้นทางหนีไฟต้องออกนอกอาคารสู่ที่ปลอดภัย
เรากลับเข้ามาในรายละเอียดกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัย
อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับการป้องกันและระงับอัคคีภัย พ.ศ. ๒๕๕๕ ฉบับใหม่ จะเห็นได้ว่ามีการระบุไว้เช่นกัน
เช่น
ข้อ ๘ (วรรคที่ ๑) กล่าวคือ
-
ให้นายจ้างจัดให้มีเส้นทางหนีไฟทุกชั้นของอาคารอย่างน้อยชั้นละสองเส้นทาง
-
เป็นเส้นทางสามารถอพยพลูกจ้างที่ทำงานในเวลาเดียวกันทั้งหมดสู่จุดที่ปลอดภัยได้
-
ใช้เวลาในการอพยพภายไม่เกินห้านาที
-
เส้นทางหนีไฟจากจุดที่ลูกจ้างทำงานไปสู่จุดที่ปลอดภัยต้องปราศจากสิ่งกีดขวาง...
ข้อ ๑๐ ให้นายจ้างจัดให้มีแสงสว่างอย่างเพียงพอสำหรับเส้นทางหนีไฟในการอพยพลูกจ้างออกจากอาคารเพื่อการหนีไฟ...
นอกจากนี้ คู่มือ
Fire
Risk Management ยังได้เน้นที่การตรวจสอบเส้นทางหนีไฟเป็นประจำอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง
เพื่อให้มั่นใจว่าเส้นทางหนีไฟไม่ถูกกีดขวางและประตูระหว่างเส้นทางหนีไฟเปิดออกได้ง่าย
ถ้านายจ้างต้องการล็อกประตูด้วยเหตุผลเกี่ยวกับความปลอดภัยของสถานประกอบกิจการ (Security) นายจ้างอาจจัดเก็บกุญแจในล็อกบล็อกแก้วบริเวณประตู หรือประตูชนิดบาร์ล็อก
สำหรับผู้ปฏิบัติงานต้องได้รับการแนะนำและฝึกอบรมขั้นตอนการอพยพหนีไฟ
โดยขั้นตอนการอพยพดังกล่าว ควรถูกบรรจุในการฝึกอบรมความปลอดภัยในการทำงานเบื้องต้น
แต่สิ่งที่สำคัญ คือ ผู้ปฏิบัติทุกคนต้องเข้าร่วมการฝึกภาคปฏิบัติในการอพยพหนีไฟ
และผู้รับผิดชอบควรมีการประเมินผลการฝึกภาคปฏิบัติดังกล่าว เพื่อนำมาปรับปรุงหรือกำหนดขั้นตอนการอพยพที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ส่วนรายละเอียดการฝึกภาคปฏิบัตินั้น
ผู้ปฏิบัติงานควรได้รับข้อแนะนำและข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการอพยพอื่น กรณีที่เส้นทางหนีไฟปกติไม่สามารถใช้งานได้
เช่น การใช้ขวานเพื่อทำลายกำแพงหรือสิ่งกีดขวาง
หรือข้อแนะนำและการฝึกปฏิบัติเกี่ยวกับการคลาน
ถ้าอาคารถูกปกคลุมด้วยกลุ่มควัน
คราวนี้เราวกกลับมาดูว่าในกฏกระทรวงฯ
การป้องกันและระงับอัคคีภัย พ.ศ. ๒๕๕๕ อีกครั้ง ว่ามีระบุไว้ในข้อใดบ้าง
เริ่มต้นด้วยคุณสมบัติประตูหนีไฟ
ข้อ ๘ (วรรคที่ ๒)......คือ
-
ประตูที่ใช้ในเส้นทางหนีไฟต้องทำด้วยวัสดุทนไฟ
-
ไม่มีธรณีประตูหรือขอบกั้น
-
เป็นชนิดที่บานประตูเปิดออกไปตามทิศทางของการหนีไฟกับต้องติดอุปกรณ์ที่บังคับให้บานประตูปิดได้เอง
-
ห้ามใช้ประตูเลื่อน ประตูม้วน
หรือประตูหมุน
-
ห้ามปิดตาย ใส่กลอน กุญแจ ผูก
ล่ามโซ่ หรือทาให้เปิดออกไม่ได้ในขณะที่มีลูกจ้างทำงาน
ส่วนการฝึกอบรมและฝึกซ้อมต่างๆ ที่มีแนวคิดคล้ายคลึงกับประกาศกระทรวงมหาดไทย
เรื่อง การป้องกันและระงับอัคคีภัยในสถานประกอบการ เพื่อความปลอดภัยในการทำงานสำหรับลูกจ้าง เดิมที่ถูกยกเลิกไปแล้ว นั้น
ระบุไว้ใน
ข้อ ๒๗ ให้นายจ้างจัดให้ลูกจ้างไม่น้อยกว่าร้อยละสี่สิบของจานวนลูกจ้างในแต่ละหน่วยงานของสถานประกอบกิจการรับการฝึกอบรมการดับเพลิงขั้นต้น...
ข้อ ๓๐ ให้นายจ้างจัดให้ลูกจ้างทุกคนฝึกซ้อมดับเพลิงและฝึกซ้อมอพยพหนีไฟพร้อมกันอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง...
เราจะเห็นได้ว่าคู่มือ Fire Risk
Management องค์กรแรงงานระหว่างประเทศ ได้กำหนดแนวคิดเบื้องต้นในการป้องกันและระงับอัคคีภัย
ส่วนกฏกระทรวงฯ การป้องกันและระงับอัคคีภัย พ.ศ. ๒๕๕๕ ฉบับใหม่ของประเทศเรา
ได้มีรายละเอียดที่สถานประกอบกิจการสามารถนำไปปฏิบัติให้ได้เป็นรูปธรรมมากขึ้นและเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน
ในครั้งต่อไปผมกล่าวถึง ๓ องค์ประกอบสุดท้าย
คือ การควบคุมเพลิงไหม้ (Control of Fire) การบริหารจัดการความเสี่ยงการเกิดเพลิงไหม้
(Management of the Fire Risk) และข้อมูลข่าวสาร การฝึกอบรม
และการให้การศึกษา (Information, Training and Education)
ที่มา
: Fire Risk Management, 2012, International Labour Office.
กฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัย
อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับการป้องกัน และระงับอัคคีภัย
พ.ศ. ๒๕๕๕